วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

แบกเป้เที่ยวไปในต่างแดน; ท่องโลกกว้างกับเมีย สไตล์พัฒนาชุมชน (ตอนที่1)

บทนำ เดิมผู้เขียนตั้งใจเขียน เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนในสำนักงานอ่านกันเล่นๆไม่จริงจังอะไร หลังจากกลับจากการเดินทางแล้ว ประกอบกับเพื่อนฝูงหลายคนสนใจ (ที่มีชีวิตรอดกลับมา) สอบถามวิธีการเดินทาง จึงลองเขียนไว้เพื่อนำเสนอ จนเวลาผ่านไป ขณะนี้กระแสการเดินทางไปท่องเที่ยว หรือศึกษางานต่างประเทศมีมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่เจ้านาย ซึ่งมีโอกาสดีกว่า กลับมาก็เขียนไว้มาก นั่นก็เป็นอีกมุมมองหนึ่ง แต่นี่เป็นการเดินทางอีกรูปแบบหนึ่ง อาจเหมาะ สำหรับคนจนๆ หรือชอบลุยหน่อย จึงเขียนเล่าใหม่ เผื่อคนที่สนใจ ใครถามเรื่องนี้ หรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์อีก ก็จะได้อ้างถึงได้...
มีคำกล่าวที่ว่าการเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง เปรียบเสมือนได้อ่านหนังสือสิบเล่มใหญ่ สำหรับในชีวิตจริงของเพื่อนนักพัฒนาอย่างเราๆ วันคืนที่ผ่านไป ดูเหมือนกำลังจมปลักอยู่กับคำว่า“งานๆ ๆ ”จนแทบไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น โดยเฉพาะการเดินทางพักผ่อนและท่องไปในโลกกว้าง หมู่นี้ข่าวการท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านกำลังฮิตฮ็อต วันหนึ่งจึงตัดสินใจกับเมียวางแผน ไปเที่ยวเวียตนามและลาวกัน เร่มต้นลงทุนซื้อหนังสือเฉพาะเรื่องมาอ่าน ศึกษาจากอินเตอร์เน็ต คุยกับผู้รู้ อุ่นเครื่องอยู่พักใหญ่ พอได้ข้อมูล พร้อมเก็บเงิน เตรียมสุขภาพ ก็เริ่มเดินทางกัน
แน่นอน นี่เป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ เพราะคิดว่าเป็นการเดินทางกับบุคคลสำคัญมาก และเป็นการเดินทางแบบท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครในบ้านเรานิยมกันนัก คือการเดินทางแบบแบกเป้เที่ยว 2 คนในต่างประเทศ(กับเมียหรือภรรยา) ครังแรก แม้เราเองจะเคยเดินทางแบบนี้มาแล้วคนเดียวในหลายประเทศ
1.เริ่มต้นการเดินทาง
เราสองคนเลือกเดินทางแบบซำเหมาพเนจร มุ่งให้เป็นการเดินทางแบบประหยัด จึงเลือกใช้ทางบก และเน้นการช่วยเหลือตัวเอง เริ่มภาคประเทศไทยจากจังหวัดเชียงใหม่โดยขึ้นรถทัวร์ปรับอากาศแบบสบายอารมณ์ในค่ำวันหนึ่ง ลูกชายลูกสาวทำหน้าที่มาส่งที่ท่ารถขนส่ง พวกเรามีเป้ ติดตัวกันเบ็ดเสร็จตามสูตร3 ใบ ด้วยต้องประเมินให้พอดีกับการแบกน้ำหนัก ใบใหญ่แข็งแรงใส่เสื้อผ้าของใช้ร่วมกัน ใบนี้สำหรับอยู่บนหลัง เวลาเดินเหินช่วงสั้น และเพื่อสามารถเก็บไว้ในห้องเก็บของของพาหนะ ติดป้ายชื่อภาษาไทยอังกฤษหนาแน่นเรียบร้อย ใบเล็กกว่าอีกคนละใบ สำหรับติดหลังตัวใครตัวมันให้อยู่ติดตัว ใส่กล้องถ่ายรูป พาสปอร์ตเอกสารสำคัญ อาหารขบเคี้ยว/ยา กระติกน้ำชาอันโปรด ไว้ซดยามกระหาย สมุดบันทึก คู่มือเดินทาง แผนที่ ของใช้อื่นๆ ที่จำเป็น

ที่ท่ารถขนส่ง ถ่ายรูปกันนิดหน่อย ด้วยรู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศที่แปลกกว่าที่เคยเป็น เราต่างแต่งกายกันดูทะมัดทะแมง ใส่เสื้อยืดรองเท้าสายรัดส้น หมวก อุปกรณ์พร้อม ถูกทำให้คล่องตัว ราวกับไปสนามรบ

รถโดยสารพาเราเดินทางสู่ขอนแก่น ถึงขอนแก่นเช้าตรู่ ทานอาหารเช้า กาแฟไข่กระทะที่ขึ้นชื่อของที่นั่น เดินเที่ยวเล่นกันพอได้เหงื่อ ซื้อตั๋วรถยนต์เดินทางต่อไปมุกดาหาร วันนั้น รถยนต์ปรับอากาศ มีผู้โดยสารมาก มีคนยืนกันเต็มรถ ในรถมีเด็กหนุ่มแนะนำตัวเอง ว่าเป็นอาจารย์มหาลัยแห่งหนึ่งแถวอีสาน ยืนอยู่ข้าง เราซึ่งนั่งอยู่ ได้คุยกันไปตลอดทาง ถามที่มาที่ไปก็ทราบว่า ตอนแรกเพราะเข้าใจว่าเราสองคน เป็นนักท่องเที่ยวจากจีนหรือญี่ปุ่น ด้วยหน้าตาจะออกไปทางนั้น ครั้นเห็นโลโก้ระบุชื่อสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งที่เสื้อเรา ก็สนใจ คุยด้วยกันพอประมาณ – ดีเหมือนกันวิว สองข้างทางระหว่างขอนแก่น-มุกดาหาร ก็คุ้นเคยอยู่แล้ว มีเพื่อนร่วมเดินทางดีๆ มาคุยด้วยสักจะเป็นไรไป

ถึงท่ารถบขส.มุกดาหารประมาณบ่ายๆ พวกเราพักเที่ยวที่มุกดาหาร 1 คืน ติดต่อเช่าห้องอะพาร์ตเม้นท์ราคาพอสวย เที่ยวชมเมือง ทานอาหารรสแปลกของมุกดาหารที่ร้านริมฝั่งโขง จิบกาแฟลาว เดินเที่ยวตลาดอินโดจีนกัน และที่สำคัญตรวจความพร้อม และข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศลาวที่เริ่มในวันถัดไป เพื่อความแน่ใจ

ที่มุกดาหาร บังเอิญเรามีหลานคนหนึ่งทำงานเป็นผู้พิพากษาที่นั่น ครั้นทราบว่าพวกเรามามุกดาหาร จึงชวนคุณพ่อจากกรุงเทพ มาสมทบด้วยอีกคน เมื่อมีโอกาสพบกันที่มุดหารอีกครั้งก็ดีใจจึงวางแผนข้ามโขงเที่ยวฝั่งลาวที่สะหวัดนะเขตด้วยกันในวันรุ่งขึ้น

วิเศษมากทีเดียว เพราะตามโปรแกรมที่พวกเรากำหนดไว้จะพักที่แคว้นสะหวันนะเขต 1 คืน การที่ญาติจะข้ามโขงไปเที่ยวลาวอีกฝั่งด้วยกันสัก 1 วัน ก็เป็นไอเดียที่ดี พวกเราไม่รอช้าวางแผน กำหนดเวลาเที่ยวกัน

เที่ยวมุกดาหาร ภาคกลางวัน กลางคืน ดูพี่น้องลาวข้ามโขงมาเที่ยวฝั่งไทย ซึ่งวันนั้นมีงานบุญประจำปีออกพรรษา จนได้ที่แล้ว วันรุ่งขึ้นตอนเช้า พวกเรารวม 4 คน ออกจากที่พัก เตรียมข้ามโขงไปยังสะหวันเขต (ช่วงนั้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 ยังไม่เปิดใช้)โดยมีผู้จัดการทัวร์คนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญได้รู้จักติดต่อกันทางโทรศัพท์จนสนิทสนมกับเรา ให้เกียรติปลีกเวลาเป็นพิเศษ ช่วยเป็นไกด์อำนวยความสะดวก ในการไปเที่ยวสะหวันนะเขตครั้งนี้ รวมทั้งจัดการหนังสือเดินทางให้พวกเราโดยเรียบร้อย การข้ามชายแดนไปยังลาวสำหรับคนไทย หากไปเช้าเย็นกลับ ไม่ค้างคืนที่นั่น ก็ไม่จำเป็นต้องถือพาสปอร์ต เพียงแค่มีหนังสืออนุญาตข้ามแดนเท่านั้น ยกเว้นพวกเรา 2 คนเท่านั้น มีต้องถือปฏิบัติตามระเบียบการเดินทางเข้าประเทศของลาว เพราะต้องพักค้างและเดินทางผ่านประเทศเขา
ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเช้าวันนั้น เราเจอะเจอแต่ฝรั่งเพื่อนร่วมเดินทาง คนลาว เวียตนามที่อาจเป็นนักธุรกิจหรือข้าราชการ มีคนนักท่องเที่ยวไทยอยู่จำนวนหนึ่งไม่มากนัก ที่ดูเหมือน เดินทางกับบริษัททัวร์ สอบถามได้ความว่าจะไปเวียตนามเช่นกัน แต่ก็มิได้ถามวิธีการเดินทางพวกเขา ด้วยคนพลุกพล่าน ทุกคนต่างต้องทำธุระของตนเองเป็นหลักเรื่องตรวจคนเข้าเมือง มิฉะนั้นจะไม่ทันลงเรือข้ามฟากแต่ละเที่ยว -ที่น่าสนใจ มีชายไทยรายหนึ่ง ได้คุยกับเราช่วงสั้น ทราบว่าเป็นคนนครศรีฯ แต่ดันไปทำงานเป็นนักข่าว อยู่นิวยอร์ค เดินทางเดี่ยว จะไปเดียนเบียนฟู เพื่อศึกษาเรื่องราวของชนเผ่าไทยดำที่นั้น มีกระเป๋าใบเล็ก 1 ใบใส่ล้อลาก แต่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืดสีขาวสีมัวๆมีข้อความด้านหน้าของเสื้อว่า นักโทษบางขวางแดน 7 ทำนองนี้ ยิ้ม ทักทาย บอกที่มาที่ไปกันพอประมาณ ดูท่าทางแปลกๆ แล้ว ก็แยกทางกันไป พวกเรา 4 พร้อมผู้จัดการทัวร์ ลงเรือข้ามฟากขนาดเล็ก เสียงในเรือดังอึงมี่ทั้งเสียงเครื่องยนต์และคนคุยตะโกนกัน ข้าวของสัมภาระกองระเกะระกะเต็มไปหมด - แม่น้ำโขงน้ำสีขุ่นแดง ดูกว้างไกล มองไปอีกด้าน ไกลอยู่ข้างหน้า คือสะพานมิตรภาพไทยลาวที่ยัง สร้างค้างเติ่งอยู่ พักใหญ่ๆ ก็เห็นตลิ่งอีกฝั่งโขง นั่นคือท่าเทียบเรือของเรา และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองลาว เห็นป้ายภาษาลาวแล้วแต่ไกล อ้อ...นั่น คงเป็นร้านอาหารเขยลาวกระมัง เห็นคนและรถพลุกพล่านอีกแผ่นดินของอีกประเทศหนึ่ง ตื่นเต้นจังและอากาศกลางแม่น้ำโขงก็ช่างสดชื่นดี ผิดกับอากาศบนถนนในเมืองไทย
ก็เป็นธรรมดาล่ะครับ มีกล้องก็ต้องรีบถ่ายรูปสวยๆไว้ แต่เอ๊สาวลาวอีกคน ที่นั่งตรงข้ามพวกเรา เธฮแต่งกายแบบลาว ก็ดูสวยน่ารักดี....

การแบกเป้เที่ยวในต่างแดน โดยเฉพาะในต่างประเทศ ว่าไปก็ทำให้พวกเรา ต้องตื่นตัว เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา แตกต่างจากเดินทางไปกับบริษัททัวร์ หรือไปเป็นคณะใหญ่ อาจดูเป็นทางการ ซึ่งมีไกด์เป็นหลักบริการ สำหรับพวกเรา เมื่อเลือกเดินทางโดยวิธีนี้ การเดินดุ่มๆไป สังเกตสอบถามไป อ่านศึกษาเอกสารต่างๆ ทั้งภาษาอังกฤษ/ไทย ดูจะเป็นการเตรียมพร้อม ที่จำเป็น กำลังใจและสุขภาพที่แข็งแรง ดูจะเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ด้านสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ก็เป็นเรื่องที่ถูกสอบถาม และกลัวกันมาก ด้วยกลัวว่าจะไปมีเหตุ เดือดร้อนระหว่างเดินทาง พวกเรามั่นใจว่า สำหรับที่ลาวโจรผู้ร้ายคงน้อยกว่าที่ประเทศไทย อย่างไรก็ตามก็ต้องไม่ประมาท ในครั้งนี้ สำหรับชีวิตความปลอดภัยของพวกเรา 2 คน หากมีเหตุฉุกเฉินใดๆ พวกเราก็พร้อมที่จะบินกลับโดยสายการบินชั้นดีกลับไทย ได้ทันที หรือหากต้องตายในต่างแดน ก็พอมีเพื่อนพ้องที่ทำงานในองค์การระหว่างประเทศไปจัดการศพได้ เมื่อตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป - ถึงฝั่งแคว้นสะหวันเขตแล้ว พวกเราคงต้องไปเจรจาหารถสะกายแล็ป ราคาเหมาะๆสักคัน เพื่อพาพวกเราเที่ยว....
(ตอนหน้า - ร้านขายทองแบกะกิน ผู้หญิงเวียตนามที่สะหวัดเขต)

ไม่มีความคิดเห็น: